เหตุพี่เขยใช้ปืนยิงน้องเขยบ้านเดียวกันตายคาบ้านเกิดขึ้นเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 22 ก.ค.65 ร.ต.อ.อัศดง คำแปงคำ รองสารวัตรสอบสวน ทำหน้าที่พนักงานสอบสวนเวร สภ.สูงเม่น ได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนยิงกันที่บ้านท่าล้อ ม.7 ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ มีผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ จากนั้นประสานหน่วยกู้ภัยสูงเม่น ชุดสืบสวน สภ.สูงเม่น รุดไปตรวจสอบตามรับแจ้ง
พบว่าที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ยกสูง เลขที่ 192 ม.7 ต.สูงเม่น จ.แพร่ บริเวณโต๊ะทำกับข้าวใต้ถุนบ้าน พบร่าง นายสมบูรณ์ ท้าวองค์การ อายุ 62 ปี พบว่าเสียชีวิตแล้ว ในสภาพหงายหลัง สวมกางเกงขาสั้น 3 ส่วน เสื้อสีดำ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน เต็มใบหน้า จนหน้ายุบ นอกจากนั้นยังพบร่องรอยถูกยิงที่หน้าอก 1 นัด แต่ไม่เข้า จากนั้นพนักงานสอบสวนได้กันพื้นที่ และประสานชุดพิสูจน์หลักฐานจังหวัดแพร่ มาทำการตรวจสอบวัตถุพยานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ เพื่อประกอบสำนวนคดี
เบื้องต้นทราบเพียงว่าผู้ก่อเหตุ คือ นายพิศ ข้ามเขา อายุ 70 ปี ซึ่งทั้งสองเป็นพี่เขย น้องเขยกัน และอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน เบื้องต้นทราบว่าได้ไปมอบตัวที่ สภ.สูงเม่น พร้อมอาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ที่ใช้ก่อเหตุ ส่วนสาเหตุในการก่อเหตุ ยังไม่ทราบ เพราะว่าระหว่างเกิดเหตุ ทั้ง 2 คน ต่างอยู่ในบ้านแต่ไม่ทราบชนวนเหตุในการตัดสินใจยิงกัน แต่ข้อมูลระบุว่า ทั้งสอง เคยมีปากเสียงกันมาก่อน แต่จำใจต้องอยู่บ้านเดียวกัน จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น
จากการสอบสวน นางสุพรรณา ผาแก้ว อายุ 59 ปี 162 ม 12 บ.ป่าผึ้ง ต.หัวฝาย อ.สูงเม่น ซึ่งเป็นพี่ภรรยาคนตาย ทราบว่า ทั้ง 2 คน อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ส่วนภรรยาคนตายคือ นางอำไพ ข้ามสาม อายุ 57 ปี ไปเลี้ยงหลานอยู่กรุงเทพฯ ทั้ง 2 คนอยู่กัน แบบแบ่งเขต ซึ่งก่อนหน้านั้น ทั้ง 2 เคย ทะเลาะกันทำร้ายกันจนบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แต่หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป ที่ผ่านมาญาติๆ และผู้ใกล้ชิด ต่างก็เข้ามาหา มาพูดคุยด้วย ว่าอยู่ด้วยกันแบบพี่แบบน้อง หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน ซึ่งทั้งสองก็รับปาก แต่ก็มาก่อเหตุยิงกันดังกล่าว
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำญาติๆ และบันทึกที่เกิดเหตุเป็นหลักฐาน ต่อมาสอบปากคำ นายพิศฯ มือปืน ถึงสาเหตุในการก่อเหตุ ทราบว่า คนตายมักจะบ่นจู้จี้จุกจิก วันนี้กลับมาจากทำงานเหนื่อย จึงโมโห คว้าปืนยิงไป 2 นัด จนนายสมบูรณ์ฯ เสียชีวิต จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป.
