ตร.ตามกล้องวงจรปิดล่ามือปาหินใส่รถ จยย. รวบตัวได้คาบ้านครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. วันที่ 9 ธ.ค.67 ชุดสืบสวน สภ.สูงเม่น นำโดย พ.ต.ท.ทัตเทพ โชติเดโชชัย รอง ผกก.สส., พ.ต.ต.ภาค พิจอมบุตร สว.สส. และ ชุดสืบสวนสภ.สูงเม่น ร่วมกับ ตร.ท่องเที่ยว ตร.ทางหลวง ฝ่ายปกครอง อ.สูงเม่น บูรณาการร่วมกับเข้าควบคุมตัว นายธีรพัฒน์ ไชยทรสุวรรณ หรือ นายเบ็ญ อายุ 25 ปี ชาวบ้านโตน หมู่ 5 ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ พร้อมรถ จยย.คันก่อเหตุ หลังสืบทราบว่าเป็นบุคคลในภาพวงจรปิดก่อเหตุ ใช้ก้อนหินปาผู้ขับขี่รถ จยย. จำนวน 3 ราย เมื่อบ่ายวันที่ 8 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นนำตัวมาทำการสอบสวน ที่ สภ.สูงเม่น เบื้องต้น นายเบ็ญ มีอาการ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง จับใจความไม่ได้ แต่รับสารภาพว่าก่อเหตุจริง และเป็นบุคคลในภาพวงจรปิด พร้อมเผยว่า ตอนทำรู้สติดี แต่ไม่รู้ว่ามีเหตุจูงใจอะไร แค่ขี่รถเห็นหน้า แล้วก็ทำการปาหินใส่รถเขาเลย วันนั้นจะไปทำงาน ขายนมเปรี้ยวที่สี่แยกไฟแดง พญาพล อีซูซุแต่ก็คิดว่าจะหยุดงานเลยขี่รถกลับ และมาก่อเหตุดังกล่าว และก่อนหน้านั้นวันที่ 2 ธ.ค.67 ก็ก่อเหตุขว้างรถ จยย.จนรถมีรถเสียหายอีก 1 คัน ตนขอโทษ ผู้เกี่ยวข้องผู้บาดเจ็บ ครอบครัวผู้เสียหายที่ได้ทำลงไป และจะไม่ทำอีกแล้ว
ซึ่งระหว่างที่ทำการสอบสวน นายเบ็ญ ได้มี นายสรธัญ เจริญใจ อายุ 29 ปี ชาวบ้านพระหลวง หมู่ 5 ผู้บาดเจ็บและครอบครัวมารอดูหน้าคนก่อเหตุ โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกคน คือ นายต่อง ภิญโญ อายุ 79 ปี ม.5 บ้านพระหลวง ที่โดนปาหินใส่ขาซ้าย ถนนใกล้สนามเปตอง บ้านพระหลวง เดินทางมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน พร้อมยืนยันว่า คนร้ายสวมเสื้อ สวมหมวกกันน็อคเต็มใบสีดำ และรถ จยย.ยี่ห้อออนด้า PCX สีดำ ทะเบียน 1 กฉ 7742 แพร่ ที่เป็นคนใช้ก้อนหินขว้างตนเองจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายเบ็ญ รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เคยเสพยาบ้า และกัญชา โดยจะหาซื้อกัญชามาเสพ ครั้งละ 100 บาท เบื้องต้นทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้แจ้งข้อหาเสพยาบ้า จากนั้นจะนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อรวบรวมผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการปาหิน ซึ่งเบื้องต้นมี 3 ราย และอาจจะมีมากกว่านั้น ซึ่งหากใครที่สงสัยว่า โดน นายเบ็ญ ปาหิน หรือทำร้าย สามารถ มาติดต่อที่ สภ.สูงเม่น เพื่อพนักงานสอบสวน จะได้สอบปากคำเพื่อดำเนินคดีกับ นายเบ็ญ ต่อไป เป็นการปิดฉาก รวบมือปาหินในรถ จยย.ประชาชน ได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมงของเจ้าหน้าที่ ตร.สภ.สูงเม่น.
